ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลงเป็ นวันที่ 3 โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหลักส่วนใหญ่ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่ามาอยู่ที่ระดับสูงสุดตั้งแต่ ค.ศ 2018 เนื่องจากนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเตรียมเปิดประเทศเต็มที่ต้นเดือนมิถุนายน ด้านค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.31% เมื่อเทียบกับดอลลาร์หลังความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนีดีขึ้นจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้
      มุมมองทองคำภาคบ่าย   ทองคำขยับตัวขึ้นเล็กน้อย นักลงทุนพากันซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากการดีดตัวขึ้นของเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นจากใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน  
      นอกจากนี้นักลงทุนยังคงต้องจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวล เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ          
      สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่  ดัชนีราคาบ้านในเขต 20 เมืองใหญ่  ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย  ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค  ดัชนีภาคการผลิตสาขาริชมอนด์  ยอดขายบ้านใหม่  คำสั่งซื้อสินค้าคงทน  ประมาณการ GDP ไตรมาสสี่  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย  ดุลการค้า  รายได้ส่วนบุคคล  รายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล  ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล  สินค้าคงคลังภาคค้าส่ง  ดัชนีจัดซื้อจัดจ้าง เฟด ชิคาโก  ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน เป็นต้น 
 

        ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลงเป็นวันที่ 3 โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหลักส่วนใหญ่ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่ามาอยู่ที่ระดับสูงสุดตั้งแต่ ค.ศ 2018 เนื่องจากนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเตรียมเปิดประเทศเต็มที่ต้นเดือนมิถุนายน ด้านค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.31% เมื่อเทียบกับดอลลาร์หลังความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนีดีขึ้นจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้  

      นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้รัฐสภายุโรปจัดทำแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั่วโลก เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ทุกประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมกัน  นายกูเตอร์เรสกล่าวในที่ประชุม European Semester Conference ทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างรัฐสภาเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่า "ไม่เพียงแต่ไม่ยุติธรรม แต่ยังอันตรายอีกด้วย" ที่มีเพียง 10 ประเทศเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนกว่า 75% ของวัคซีนทั้งหมดทั่วโลกในตอนนี้    นายกูเตอร์เรสซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีโปรตุเกสกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ "ไม่สามารถยอมรับได้" พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการมีแผนการระดับโลก  ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกูเตอร์เรสได้เสนอให้กลุ่ม G20 จัดตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อจัดทำแผนการฉีดวัคซีนทั่วโลก นอกเหนือไปจากโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ซึ่งเป็นโครงการจัดหาวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อจัดหาวัคซีนให้กับประเทศยากจน  
      สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ณ วันที่ 19 ก.พ.นั้น ขณะนี้ทั่วโลกมีวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่กำลังพัฒนาอยู่ 251 ชนิด โดยในจำนวนนั้นมี 70 ชนิดที่อยู่ในขั้นทดลองทางคลินิกในประเทศต่างๆ รวมถึงเยอรมนี, จีน, รัสเซีย, อังกฤษ และสหรัฐ
 

      นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า การที่ประเทศร่ำรวยทำข้อตกลงซื้อวัคซีนต้านโรคโควิด-19 โดยตรงจากผู้ผลิตนั้น กำลังส่งผลกระทบต่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าวของโครงการ COVAX โดยทำให้ WHO สามารถซื้อวัคซีนได้ในจำนวนโดสที่น้อยลง   "เรื่องเงินไม่ใช่ความท้าทายเดียวที่เรามี และประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง หากไม่มีวัคซีนให้ซื้อ เงินก็ไม่มีความหมาย" นายแพทย์ทีโดรสกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวของ WHO เมื่อวานนี้
นายแพทย์ทีโดรสระบุว่า มีประเทศร่ำรวยบางประเทศที่ทำสัญญาซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อข้อตกลงที่ COVAX ทำไว้ และลดจำนวนวัคซีนที่โครงการนี้จะสามารถจัดซื้อได้
       สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายแพทย์ทีโดรสได้เรียกร้องทุกประเทศรวมถึงประเทศร่ำรวยให้ร่วมกันแบ่งปันวัคซีนในทันที และขอความร่วมมือผู้ผลิตวัคซีนในการให้ความสำคัญกับสัญญาที่ได้ทำไว้กับ COVAX เป็นอันดับแรก รวมถึงเพิ่มกำลังผลิตวัคซีนให้มากขึ้น
 

     คณะกรรมาธิการด้านงบประมาณแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ มีมติด้วยคะแนนเสียง 19 ต่อ 16 อนุมัติร่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ที่นำเสนอโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน หรือที่เรียกว่าร่างกฎหมาย "American Rescue Plan Act of 2021" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการสร้างความคืบหน้าให้กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน.ไบเดน และเป็นการปูทางให้มาตรการฉบับนี้ถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์นี้
      ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะบริหารของปธน.ไบเดนได้ออกมาสนับสนุนให้สภาคองเกรสเร่งอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับนี้ รวมถึงนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังซึ่งกล่าวว่า สัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่เหตุผลที่คณะบริหารของปธน.ไบเดนจะชะลอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังคงเผชิญกับความยากลำบาก  ทางด้านสำนักงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) คาดการณ์ว่า หากไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน.ไบเดนแล้ว สหรัฐอาจจะต้องใช้เวลานานถึงปี 2567 จึงจะทำให้ตัวเลขจ้างงานกลับสู่การขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพได้อีกครั้ง