สนใจเทรดออนไลน์
สมัครเทรดออนไลน์
ทองคำถูกค้นพบโดยคนผิวขาวเมื่อปี ค.ศ.1848 ในบริเวณไร่ของคุณ John Sutter ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผู้คนจำนวนมากจากทุกสารทิศนับแสนคนแม้กระทั่งชาวจีนที่อพยพมาจากเอเชียก็หลั่งไหลไปยังฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ เมืองเล็กๆ อย่างซานฟรานซิสโก ก็พัฒนากลายเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก
(1) จุดเริ่มต้นที่ทำให้ “ทองคำ” มีบทบาทต่อสกุลเงิน เริ่มเมื่อปี คศ.1900 โดยสภาคองเกรส แห่งสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะหนุนค่าเงินดอลลาร์ด้วยทองคำ จึงตั้งมาตรฐานทองคำ หรือที่เรียกว่า Gold Standard ขึ้นมา โดยกำหนดให้ราคาแลกเปลี่ยนทองคำเป็นค่าคงที่ อยู่ที่ $20.67 ต่อทองคำหนัก 1ออนซ์
(2) หลังจากเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงปี 1930s (The Great Depression) ประธานาธิบดีสหรัฐ ในขณะนั้นคือ Franklin D. Roosevelt ได้พยายาม แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยปรับเปลี่ยนราคาแลกเปลี่ยนทองคำเป็น $25.56/oz. ใน ปี 1933 ปรับเพิ่มขึ้นอีกเป็น $34.95/oz. ใน ปี 1934 จนไปหยุดที่ $35/oz. พร้อมทั้งห้ามไม่ให้มีการส่งออกทองคำจากสหรัฐอเมริกาและ ห้ามประชาชนทั่วไป ถือครองทองคำ จึงทำให้ความต้องการในทองคำลดลงไปมาก โดยเฉพาะในช่วงระหว่างที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นับจากนั้น ราคาทองคำไม่ได้เปลี่ยนแปลงอีกเลยจนถึง ปี 1970
(3) การที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขาดดุลการค้าต่อเนื่องและ ต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาเรื่อยๆ ทำให้สถานะ ความมั่นคงทางการเงินของสหรัฐฯ ตกต่ำลงไปมาก โดยในยุค 1960s ฝรั่งเศสถึงกับไม่รับเงินดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองเพิ่ม แต่เลือกเป็นทองคำแทนและ สหรัฐฯ เอง ก็ไม่มีทองคำเพียงพอที่จะรองรับหนี้ต่างประเทศ
(4) ในที่สุดประธานาธิบดี Richard M. Nixon ประกาศในปี 1971 ไม่รับแลกเงินดอลลาร์กับทองคำอีกต่อไป ยิ่งกระตุ้นให้ความต้องการทองคำเพิ่มมากขึ้น ทองคำจึงถือว่ามีราคาถูกมากๆ ที่ราคาคงที่ $35/oz. & ในที่สุด สหรัฐอเมริกาก็ต้องยกเลิกมาตรฐานทองคำ Gold Standard ยอมปล่อยให้ราคาทองคำ ลอยตัว ทำให้ราคาทองคำพุ่งไปถึง$120/oz.
(5) ในปีถัดมายอมให้คนอเมริกันถือครองทองคำได้ ยิ่งทำให้ราคาทองคำพุ่งไปถึง $200/oz. ทำให้มีการขายทองคำจากทั่วโลกให้สหรัฐฯ จนทองคาราคาร่วงลงไปเหลือ $100/oz.
(6) ช่วงปลายยุค 1970s ถึงต้น 1980s ที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ สูงมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นอย่างมหาศาลไปสูงสุดที่ $850 ในเดือนมกราคม คศ.1980 เพราะทองคำจะปรับราคาไปตามแนวโน้มของเงินเฟ้อ ราคานี้จูงใจมาก เหมืองทองคำเร่งขุดทองกันยกใหญ่
(7) ภายหลังต่อมาอัตราเงินเฟ้อคลี่คลายลงไป ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเข้าสู่ขาลง ตลอดเวลา 20ปี
(8) จนถึงช่วงต้นปี 2000 หลังจาก การล่มสลายของตลาด Dot Com (หุ้นHi_Technolgy) เกิดเหตุการณ์ 9/11 งบประมาณจำนวนมากของสหรัฐฯ กลับถูกใช้จ่ายไปในเรื่องการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุล จึงต้องพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทองคำ มารองรับ ซึ่งต่างจากประเทศอื่นๆ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวและขาดความน่าเชื่อถือ
(9) ต่างจากประเทศจีน เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วเริ่มอนุญาตให้คนจีนถือครองทองคำได้ ราคาทองคำจึงเป็นขาขึ้น ไม่หยุด จากประมาณ $250/oz. ไปแตะ $1,000/oz. ในปลายปี 2007
(10) ในปัจจุบันนี้ ทองคำมีบทบาทสำคัญเป็นสินทรัพย์เพื่อ การลงทุน (Gold Investment) ทั้งในฐานะเป็นสกุลเงิน ที่มาทดแทนการถือสกุลเงินหลักที่กำลังด้อยค่า หรือ การมองบทบาทของทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เป็นต้น ทำให้มีการจัดตั้ง ‘กองทุน ETF’ เพื่อมาลงทุนในทองคำแท่งจานวนมากใน ปี 2009
(11) กองทุน ETF เหล่านี้ ถูกจัดตั้งขึ้นมารองรับความต้องการลงทุนในทองคำของผู้ลงทุน โดยมีข้อดีเพิ่มคือ ผู้ลงทุนไม่ต้องเก็บรักษาทองคำ เอง จึงทำให้เพิ่มความต้องการทองคำมาเป็นสินทรัพย์การลงทุนเพิ่มขึ้นอีกมาก ทั้งนี้ กองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดคือ SPDR มีขนาดมูลค่าสุทธิมากกว่า 43,000 ล้านดอลลาร์
(12) การลงทุนในทองคำจึงมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นทุกที และเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงของ Portfolio ของแต่ละคน คือ ไม่ไปกระจุกตัวการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด ประเภทหนึ่งมากเกินควร
ขอบคุณข้อมูลจาก http://rookie-goldtrader.blogspot.com/2012/04/blog-post_26.html
http://www.thaimutualfundnews.com/popup.php?id=82&type=article
Copyright © 2018 www.gcap.co.th All rights reserved.